จากกรณีเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช หรือ Thai-PAN และ นิตยสารฉลาดซื้อมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ออกมาแถลงผลการสุ่มตรวจสารเคมีตกค้างใน องุ่นไชน์มัสแคท ทั้งหมด 24 ตัวอย่าง โดยพบตกค้างเกินค่ามาตรฐานมากถึงร้อยละ 95.8 และบางตัวอย่างพบสารคลอร์ไพริฟอส ซึ่งเป็นสารเคมีที่ประเทศไทยซึ่งได้มีประกาศยกเลิกการใช้ไปแล้ว
ข่าวดังกล่าวสร้างความเสียหายให้เหล่าบรรดาพ่อค้า-แม่ค้า จำนวนมาก เพราะสร้างความตื่นตูมให้ผู้บริโภคเป็นวงกว้าง แม้นักวิชาการจะออกมาชี้แจงว่า องุ่นไชน์มัสแคท สามารถนำไปรับประทานได้ปกติ หากนำไปล้างน้ำให้สะอาดก่อน แต่ข่าวที่ออกมาครั้งแรก ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ตั้งธง พากันเลิกกินไปแล้ว
ล่าสุดผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ ตลาดศรีเมือง ซึ่งเป็นตลาดกลางค้าปลีก – ส่งผักและผลไม้ขนาดใหญ่ จ.ราชบุรี เพื่อสอบถามความคิดเห็นและผลกระทบที่เกิดขึ้น
นางพิภาพร เจ้าของร้านผลไม้ กล่าวว่า ตนเปิดร้านขายผลไม้นำเข้าต่างประเทศ ทั้งอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี จีน มาแล้วกว่า 5 ปี สินค้าส่วนใหญ่จะส่งขายภาคกลางและภาคใต้ โดยในช่วงเทศกาลสำคัญตนจะต้องลงสินค้ารวมประมาณ 8 ตัน และช่วงปกติจะอยู่ที่ประมาณสัปดาห์ละ 2 – 3 ตัน
กระแสข่าวที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ยอดขายผลไม้นำเข้าทุกชนิดลดลง โดยเฉพาะองุ่นไชน์มัสแคท ที่หายไปถึงร้อยละ 80 ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นองุ่นนำเข้าจากจีน แต่ยังรวมถึงองุ่นจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ด้วย สร้างความเสียหายขาดทุนแล้วไม่ต่ำกว่า 1 แสนบาท เนื่องจากผู้บริโภคกังวลถึงความปลอดภัย ซ้ำเติมรายได้ที่ลดลงของผู้ค้าส่งและค้าปลีกอันเป็นผลจากสภาพเศรษฐกิจ
ในทางกลับกัน ตนขายองุ่นไชน์มัสแคทนำเข้ามากว่า 3 ปี ยังไม่มีลูกค้ารายใด พบปัญหาป่วยหรือได้รับอันตรายจากองุ่นที่รับประทาน
แต่จากสถานการณ์ตื่นกลัวของผู้บริโภค จึงต้องระงับการสั่งซื้อองุ่นไชน์มัสแคทเข้าร้านชั่วคราว รวมถึงในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้ ตนอาจต้องยกเลิกสั่งองุ่นไชน์มัสแคท ซึ่งลูกค้านิยมนำไปจัดกระเช้าของขวัญ และจัดหาสินค้าชนิดอื่นมาทดแทน