องค์การวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติ (IARC) ภายใต้ WHO ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2012 “ปลาเค็ม” ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มสารก่อมะเร็งระดับ 1 เทียบชั้นความอันตรายเดียวกับบุหรี่และแร่ใยหิน
เช้าตรู่วันหนึ่ง นายโจว ชาวจีนวัย 48 ปี นั่งในครัวหั่นปลาเค็มทีละชิ้น กลิ่นหอมเค็มของมันชวนให้เขาหวนคิดถึงวัยเด็กที่เคยนั่งกินข้าวต้มกับพ่อพร้อมปลาเค็มร้อน ๆ ทว่าความทรงจำอันแสนอบอุ่นกลับสั่นคลอน เมื่อไม่กี่วันก่อนลูกชายส่งข่าวว่า “ปลาเค็มถูก WHO จัดเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 1” ทำให้เขาตกตะลึงทันที
เหตุผลที่ปลาเค็มกลายเป็นภัยเงียบ
กระบวนการหมักดองที่ใช้เกลือปริมาณสูงทำให้เกิดสาร ไนโตรซามีน ซึ่งมีหลักฐานชัดเจนว่าสามารถก่อมะเร็งได้จริง งานวิจัยพบว่า ในพื้นที่ที่บริโภคปลาเค็มมาก มีอัตรามะเร็งโพรงหลังจมูกสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 5–10 เท่า
นอกจากนี้ ปลาเค็มยังมีเกลือสูงถึง 13–18% มากกว่าปลาสดหลายเท่า หากกินบ่อยเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด อีกทั้งหากเก็บรักษาไม่ดี อาจเกิดเชื้อราสร้างสาร อะฟลาท็อกซิน ที่เพิ่มโอกาสมะเร็งตับ
ผลเสียต่อร่างกายจากการกินปลาเค็มนาน ๆ
-
เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งโพรงหลังจมูก กระเพาะอาหาร และหลอดอาหาร สูงกว่าคนทั่วไปถึง 2.5 เท่า
-
ทำร้ายตับและไต จากสารพิษที่เกิดในกระบวนการหมักหรือการเก็บรักษาที่ผิดวิธี
-
กระทบหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง เสี่ยงเส้นเลือดสมองแตก
กินปลาเค็มอย่างไรให้ปลอดภัยที่สุด?
แพทย์แนะนำว่า ปลาเค็มไม่ใช่สิ่งที่ “ห้ามขาด” แต่ควรกินอย่างระมัดระวัง โดยยึด 2 หลักสำคัญ:
-
กินน้อยและไม่บ่อย – ไม่เกิน 1–2 ครั้ง/เดือน และกินเพียงเล็กน้อย หลีกเลี่ยงการทอดหรือย่างไฟแรง ควรนึ่งดีที่สุด กินคู่กับผักผลไม้สดที่มีวิตามินซี เช่น มะเขือเทศ บร็อกโคลี หรือพริกหวาน เพื่อช่วยยับยั้งการสร้างสารก่อมะเร็ง
-
เก็บรักษาอย่างถูกวิธี – เลือกซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เก็บในที่แห้งและอากาศถ่ายเท หากพบกลิ่นผิดปกติหรือมีเชื้อราขึ้นต้องทิ้งทันที โดยเฉพาะผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และครอบครัวที่มีประวัติมะเร็ง ควรหลีกเลี่ยงการกินปลาเค็มอย่างเคร่งครัด