แพทย์ย้ำเตือน “อาการเริ่มแรก” ของมะเร็งตับ ที่คนมักสับสนกับอีกโรค และเพิกเฉยจนลุกลาม!

อาการเริ่มแรกของมะเร็งตับ 6 สัญญาณสำคัญที่ไม่ควรเพิกเฉย

อาการมะเร็งตับในระยะแรกมักไม่ชัดเจน และสามารถเข้าใจผิดว่าเป็นโรคทั่วไปได้ง่าย อย่างไรก็ตาม การตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ ถือเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยให้รักษาได้ทันท่วงที โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคตับอักเสบเรื้อรัง หรือภาวะไขมันพอกตับ

มะเร็งตับ: เงียบ แต่ร้ายแรง

ตับทำหน้าที่สำคัญหลายประการในร่างกาย ตั้งแต่การล้างสารพิษ การสร้างน้ำดี ไปจนถึงการเผาผลาญพลังงาน เมื่อเกิดมะเร็งที่ตับ ระบบทั้งหมดจะถูกรบกวน แต่เนื่องจากอาการในระยะแรกมักไม่ชัดเจน หลายคนจึงไม่ทราบว่าตับกำลังมีปัญหาอย่างรุนแรง

ดร.กาวรี กุลการ์นี หัวหน้าแผนกการแพทย์ของ MediBuddy แอปพลิเคชันแพทย์ออนไลน์ชั้นนำของอินเดีย ระบุว่า ตับอาจได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง แต่ผู้ป่วยยังคงรู้สึก “เกือบปกติ” ดังนั้น การสังเกตสัญญาณเตือนตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการแทรกแซงอย่างทันท่วงทีและช่วยชีวิตผู้ป่วย

6 สัญญาณเริ่มต้นของมะเร็งตับที่ควรสังเกต

1. ปวดหรือไม่สบายบริเวณช่องท้องด้านขวาบน

ผู้ป่วยมะเร็งตับจำนวนมากมักมีอาการปวด แน่น หรือไม่สบายบริเวณด้านขวาบนของช่องท้อง อาจลามไปถึงหลังหรือไหล่ขวา อาการนี้มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นปัญหาทางเดินอาหาร เช่น ท้องอืดหรือโรคกระเพาะ ทำให้หลายคนละเลยและตรวจพบโรคล่าช้า

2. เบื่ออาหาร

อาการเบื่ออาหารโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน อาจเกิดจากการที่เนื้องอกรบกวนการทำงานของระบบย่อยอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มตลอดเวลา หากอาการนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ควรพบแพทย์เพื่อตรวจสอบสุขภาพตับ

3. น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วโดยไม่ตั้งใจ เป็นอีกหนึ่งสัญญาณของมะเร็งตับ การเผาผลาญพลังงานที่ผิดปกติส่งผลให้ร่างกายสูญเสียมวลกล้ามเนื้อและพลังงานอย่างรวดเร็ว

4. อ่อนเพลียเรื้อรัง

อาการเหนื่อยล้าแม้จะพักผ่อนเพียงพอ อาจเกิดจากการที่ตับไม่สามารถกำจัดสารพิษออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอและรู้สึกหมดแรงอย่างต่อเนื่อง

5. ท้องอืดหรือท้องเฟ้อบ่อย

ผู้ป่วยบางรายมีอาการท้องอืดหรือท้องเฟ้อที่ไม่เกี่ยวข้องกับอาหาร อาจเกิดจากการสะสมของของเหลวในช่องท้อง ซึ่งเป็นผลจากภาวะท้องมาน และบ่งชี้ว่าตับทำงานผิดปกติ

6. ดีซ่าน (ตาเหลือง ผิวเหลือง)

เมื่อบิลิรูบินในเลือดเพิ่มขึ้นจากการที่ตับไม่สามารถประมวลผลได้ตามปกติ จะส่งผลให้ผิวหนังและตาขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ร่วมกับปัสสาวะเข้ม อุจจาระสีซีด และอาการคันตามผิวหนัง

การวินิจฉัยเร็วคือกุญแจสำคัญ

ดร.กาวรี ย้ำว่า แม้อาการเหล่านี้อาจดูไม่รุนแรง แต่หากละเลยอาจส่งผลต่อการวินิจฉัยล่าช้า โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยโรคตับอักเสบเรื้อรัง การดื่มสุราเป็นประจำ โรคอ้วน หรือไขมันพอกตับ ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตับอย่างสม่ำเสมอ

ดังนั้น หากคุณพบว่าเริ่มมีอาการปวดช่องท้องด้านขวา เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย ท้องอืด หรือดีซ่าน ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย มะเร็งตับอาจไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก แต่หากตรวจพบได้เร็ว ก็สามารถเพิ่มโอกาสในการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ