นักวิทย์ฯ พบ “กรุ๊ปเลือดหนึ่ง” มีปัจจัยเสี่ยงมะเร็งเต้านม มากขึ้นถึง 18% เมื่อเทียบกับกรุ๊ป O

นักวิจัยพบความเชื่อมโยงระหว่างกรุ๊ปเลือด A และความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม โดยกลุ่มนี้อาจมีโอกาสเสี่ยงเพิ่มขึ้นถึง 18% เมื่อเทียบกับกรุ๊ป O

มะเร็งเต้านม ถือเป็นหนึ่งในโรคร้ายแรงที่พบมากที่สุดทั่วโลก และล่าสุด งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Oncotarget ได้เผยข้อมูลที่น่ากังวลว่า “กรุ๊ปเลือด A” อาจมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมมากกว่ากรุ๊ปเลือดอื่นๆ

นักวิทยาศาสตร์ได้รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจาก 29 งานวิจัยที่ผ่านมา ซึ่งครอบคลุมผู้ป่วยนับแสนทั่วโลก โดยมีผู้เข้าร่วมรวมกว่า 730,000 คน ในนั้นมีผู้ป่วยมะเร็งเต้านมกว่า 13,000 ราย ครอบคลุมประชากรจากเอเชีย ยุโรป แอฟริกา และอเมริกา

ผลการวิเคราะห์ระบุว่า ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมส่วนใหญ่มีกรุ๊ปเลือด A ซึ่งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นถึง 18% เมื่อเทียบกับกรุ๊ป O ซึ่งเป็นกรุ๊ปเลือดที่พบมากที่สุดในสหราชอาณาจักร

แม้จะพบความเกี่ยวข้องระหว่างกรุ๊ป A กับมะเร็งเต้านม แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนที่ชี้ว่ากรุ๊ป B, AB หรือปัจจัย Rh (บวกหรือลบ) มีผลต่อความเสี่ยงดังกล่าว หรือกล่าวได้ว่าไม่มีความเชื่อมโยงกับกรุ๊ป B, AB หรือ Rh

นักวิจัยยังย้ำว่า “การพบความสัมพันธ์ไม่เท่ากับการยืนยันว่าเป็นสาเหตุ” แต่การค้นพบนี้ควรได้รับการศึกษาเพิ่มเติม เนื่องจากแอนติเจนของกรุ๊ปเลือดอยู่บนผิวเซลล์ รวมถึงในเนื้อเยื่อเต้านม และอาจมีบทบาทต่อกระบวนการของโรคมะเร็ง

สัญญาณเตือนมะเร็งเต้านมที่ไม่ควรมองข้าม

หน่วยงานสุขภาพของอังกฤษ (NHS) แนะนำให้ทุกคนตรวจเช็กเต้านมของตนเองเป็นประจำ เพื่อให้รู้จักลักษณะที่ “ปกติ” ของร่างกาย และสามารถสังเกตความผิดปกติได้อย่างทันท่วงที สัญญาณที่ควรระวัง ได้แก่

  1. มีของเหลวไหลจากหัวนม (หากไม่ได้ตั้งครรภ์หรือให้นม) โดยเฉพาะถ้ามีเลือดปน

  2. มีก้อนหรือตุ่มในเต้านม หน้าอก หรือรักแร้

  3. ขนาดหรือรูปทรงของเต้านมเปลี่ยนไป

  4. ผิวหนังบนเต้านมยุบตัวหรือเป็นรอยบุ๋มคล้ายเปลือกส้ม

  5. ผิวหนังแดง มีผื่น หรือหัวนมหดเข้าด้านใน

ในสหราชอาณาจักร ผู้หญิงอายุ 50-71 ปีจะได้รับการเชิญให้ตรวจแมมโมแกรมทุก 3 ปี โดยเป็นการตรวจเอ็กซเรย์เต้านมแบบละเอียด ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีเท่านั้น กลุ่มคนข้ามเพศและผู้ไม่ระบุเพศ (non-binary) ก็สามารถเข้ารับการตรวจได้เช่นกัน โดยบางกรณีอาจต้องติดต่อ GP หรือแพทย์ประจำตัวก่อน

แม้ผลการวิจัยจะยังไม่สามารถยืนยันแน่ชัดว่าเลือดกรุ๊ป A เป็น “สาเหตุโดยตรง” ของมะเร็งเต้านม แต่ก็เป็นสัญญาณสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมการดูแลสุขภาพเชิงรุก และการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ คือกุญแจสำคัญในการป้องกันและรักษาโรคได้ทันเวลา