ทภ.2 แจงแล้ว ศาลโลก ไม่เคยตัดสินเขตแดนรอบพระวิหาร

 

ทภ.2 แจงแล้ว ศาลโลก ไม่เคยตัดสินเขตแดนรอบพระวิหาร

ทภ.2 แจงแล้ว ศาลโลก ไม่เคยตัดสินเขตแดนรอบพระวิหาร

 

 

วันที่ 25 ธันวาคม 2568 กองทัพภาคที่ 2 เผยแพร่บทความวิเคราะห์ถึงปฐมเหตุของความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา โดยชี้ว่ารากฐานสำคัญของปัญหาเริ่มต้นจาก คดีปราสาทพระวิหาร ซึ่งนำไปสู่ความคลุมเครือด้านเขตแดน และการเกิดพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ที่ยังเป็นปัญหามาจนถึงปัจจุบัน

ข้อพิพาทชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชามีจุดเริ่มต้นสำคัญเมื่อกัมพูชายื่นฟ้องคดีปราสาทพระวิหารต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) โดยฝ่ายไทยในขณะนั้นเข้าร่วมกระบวนการด้วยความเชื่อมั่นในความยุติธรรมของศาลระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม คำพิพากษาเมื่อปี พ.ศ. 2505 มีผลให้

-ตัวปราสาทพระวิหารตกอยู่ในอธิปไตยของกัมพูชา

-ไทยต้องถอนกำลังออกจากบริเวณตัวปราสาท

-ไทยต้องคืนโบราณวัตถุที่นำออกไปหลังปี พ.ศ. 2497

ทั้งนี้ ศาล ไม่ได้มีคำตัดสินเกี่ยวกับเส้นเขตแดน และ ไม่ได้ระบุพื้นที่โดยรอบตัวปราสาท แต่อย่างใด

ภายหลังคำตัดสิน คณะรัฐมนตรีไทยในปี พ.ศ. 2505 ตีความว่ากัมพูชามีสิทธิเฉพาะตัวปราสาท จึงล้อมลวดหนามโดยรอบในพื้นที่แคบที่สุด

ในทางตรงกันข้าม กัมพูชาใช้อ้างอิงแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 เป็นฐานในการอ้างสิทธิ ซึ่งหากยึดตามแนวคิดดังกล่าว ไทยจะสูญเสียดินแดนจำนวนมาก รวมถึงพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ เช่น ภูมะเขือ พลาญอินทรี ช่องคานม้า และโบราณสถานตลอดแนวชายแดน ตลอดจนผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ในอ่าวไทย

ความแตกต่างในการตีความนี้ นำไปสู่การเกิด พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร

ในช่วงปี พ.ศ. 2549-2551 กัมพูชาผลักดันการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยพยายามรวมพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ขณะที่ไทยยืนยันให้ขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น

เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2551 UNESCO ประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา โดยไม่ครอบคลุมพื้นที่ทับซ้อน แต่ความตึงเครียดตามแนวชายแดนได้เริ่มปะทุขึ้นแล้ว

ความขัดแย้งนำไปสู่การปะทะทางทหารหลายครั้ง อาทิ

-ตุลาคม 2551 บริเวณห้วยตานี-ภูมะเขือ

-เมษายน 2552 ภูมะเขือ-ผามออีแดง

-กุมภาพันธ์ 2554 สงคราม 4 วัน ใกล้ปราสาทพระวิหาร

-เมษายน-พฤษภาคม 2554 ปราสาทตาควาย-ตาเมือนธม

กองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า กัมพูชาดำเนินการรุกคืบเชิงพื้นที่อย่างเป็นระบบ ผ่านการสร้างชุมชน ถนนคอนกรีต วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ และการเชื่อมเส้นทางขึ้นสู่ตัวปราสาท ซึ่งเข้าข่ายละเมิดบันทึกความเข้าใจ MOU ปี 2543 (MOU43)

ในปี พ.ศ. 2556 กัมพูชายื่นคำร้องให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาเดิม โดยศาลมีคำตัดสินว่า

-ไม่ได้มอบพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรให้กัมพูชา

-ภูมะเขือไม่เกี่ยวข้องกับปราสาทพระวิหาร

-แต่เห็นว่าแนวลวดหนามของไทยชิดตัวปราสาทมากเกินไป

อย่างไรก็ตาม ศาลไม่ได้กำหนดแนวเขตที่ชัดเจน และให้ทั้งสองประเทศไปเจรจาตกลงกันเอง

กองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา กัมพูชายังคงใช้วิธีการแทรกซึม ตั้งฐานทหาร และขยายพื้นที่อย่างค่อยเป็นค่อยไป พื้นที่สำคัญที่ถูกจับตามอง ได้แก่ พลาญอินทรี ช่องคานม้า ห้วยตามาเรีย ภูมะเขือด้านหน้าผา ช่องโดนเอาว์ และพลาญยาว–พลาญหินแปดก้อน

การตั้งฐานยิงและอาวุธวิถีโค้งจากฝั่งเขาพระวิหาร ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อกำลังพลไทย

ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ไทยมีสิทธิอันชอบธรรมในการป้องกันตนเองเพื่อรักษาอธิปไตยและความปลอดภัยของกำลังพล โดยเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์สำคัญคือการสถาปนาอำนาจรัฐตามแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 และการควบคุมจุดยุทธศาสตร์ เช่น ช่องคานม้า เพื่อป้องกันการลำเลียงกำลังขึ้นสู่พื้นที่พิพาท

กองทัพภาคที่ 2 ย้ำว่า ปัญหานี้ไม่ใช่เพียงเรื่องในอดีต แต่เป็นเรื่องของอธิปไตย ความทรงจำ และศักดิ์ศรีของชาติ พร้อมส่งกำลังใจถึงทหารไทยที่ปฏิบัติหน้าที่แนวหน้า และยืนยันว่าประชาชนไทยจำนวนมากพร้อมยืนเคียงข้างในการปกป้องผืนแผ่นดินไทย

เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต